หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประวัติและผลงานของคีตกวีไทย

พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน)

 

พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน)
            พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) เป็นนักดนตรีไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว     พระยาเสนาะดุริยางค์เป็นบุตรคนโตของครูช้อย และนางไผ่ สุนทรวาทิน. ได้ฝึกฝนวิชาดนตรีจากครูช้อยผู้เป็นบิดา จนมีความแตกฉาน ต่อมาเจ้าพระยาเทเวศน์วงศ์วิวัฒน์    (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) ได้ขอตัวมาเป็นนักดนตรีในวงปี่พาทย์ของท่าน. ท่านเข้ารับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2422 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนเสนาะดุริยางค์” ในปี พ.ศ. 2446 ตำแหน่งเจ้ากรมพิณพาทย์หลวงจึงโปรดให้เลื่อนเป็น “หลวงเสนาะดุริยางค์” ในปี พ.ศ. 2453 ในตำแหน่งเดิมจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนเป็น “พระเสนาะดุริยางค์” รับราชการในกรมมหรสพหลวง และได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ด้วยความซื่อสัตย์ และมีความจงรักภักดี ท่านจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาเสนาะดุริยางค์” ในปี พ.ศ. 2468                                                                                   
         ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับมอบหมายให้ควบคุมวงพิณพาทย์ของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี(ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง วงพิ    ณพาทย์วงนี้ นับได้ว่าเป็นการรวบรวมผู้มีฝีมือ ซึ่งต่อมาได้เป็นครูผู้ใหญ่ เป็นที่รู้จักนับถือโดยทั่วไป เช่น ครูเทียบ คงลายทอง ครูพริ้ง ดนตรีรส ครูสอน วงฆ้อง ครูมิ ทรัพย์เย็น ครูแสวง โสภา ครูผิว ใบไม้ ครูทรัพย์ นุตสถิตย์ ครูอรุณ กอนกุล ครูเชื้อ นักร้อง และครูทองสุข คำศิริ
ด้านครอบครัว ท่านสมรสกับ คุณหญิงเรือน เสนาะดุริยางค์ ซึ่งมาจากตระกูลมอญบางไส้ไก่ มีบุตร-ธิดา 4 คน คือ
  • คุณเลียบ บุณยรัตพันธุ์
  • คุณเลื่อน ผลาสินธุ์
  • นายเชื้อ สุนทรวาทิน
  • คุณเจริญใจ เลขะกุล
และมีบุตร-ธิดา กับภรรยาท่านก่อนอีก 2 คน คือ
  • คุณช้า สุนทรวาทิน
  • นายเชื่อง สุนทรวาทิน
พระยาเสนาะดุริยางค์ ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2492 เมื่อมีอายุได้ 83 ปี
     
        อ้างอิง:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C_(%E0%B9%81%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A1_%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99)
 
 
 
 
หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
 
 
 
 
หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
 
            หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 เป็นบุตรของ นายสิน นางยิ้ม ศิลปบรรเลงเนื่องจากบิดาคือครูสินเป็นเจ้าของวงปี่พาทย์ และเป็นศิษย์ของพระประดิษฐไพเราะในปี พ.ศ. 2443 ขณะเมื่ออายุ 19 ปี ท่านได้แสดงฝีมือเดี่ยวระนาดเอกถวายสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เป็นที่ต้องพระทัยมาก จึงทรงรับตัวเข้ามาไว้ที่วังบูรพาภิรมย์ ทำหน้าที่คนระนาดเอก ประจำวงวังบูรพาไปด้วย พร้อมกับสมเด็จท่านได้ เชิญครูมาสอนที่วัง คือ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เนื่องจากจางวางศร ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เป็นอย่างมาก ทรงจัดหาครูที่มีฝีมือมาฝึกสอน ทำให้จางวางศรมีฝีมือกล้าแข็งขึ้นในสมัยนั้นไม่มีใครมีฝีมือเทียบเท่าได้เลย
            จางวางศร ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงประดิษฐไพเราะ ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2468 ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยรับราชการอยู่ในกรมกองใดมาก่อน ทั้งนี้ก็เพราะฝีมือและความสามารถของท่าน เป็นที่ต้องพระหฤทัยนั่นเอง
            ครั้นถึงปี พ.ศ. 2469 ท่านได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ท่านได้มีส่วนถวายการสอนดนตรีให้กับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รวมทั้งมีส่วนช่วยงานพระราชนิพนธ์เพลงสามเพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรละออองค์เถา และ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง สามชั้น.
เพลงได้แต่งไว้
        หลวงประดิษฐไพเราะ ได้แต่งเพลงไว้มากกว่าร้อยเพลง ดังนี้:
  • เพลงโหมโรง : โหมโรงกระแตไต่ไม้ โหมโรงปฐมดุสิต โหมโรงศรทอง โหมโรงประชุมเทวราช โหมโรงบางขุนนท์ โหมโรงนางเยื้อง โหมโรงม้าสยบัดกีบ และโหมโรงบูเซ็นซ๊อค เป้นต้น
  • เพลงเถา : กระต่ายชมเดือนเถา ขอมทองเถา เขมรเถา เขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีเถา แขกขาวเถา แขกสาหร่ายเถา แขกโอดเถา จีนลั่นถันเถา ชมแสงจันทร์เถา ครวญหาเถา เต่าเห่เถา นกเขาขแมร์เถา พราหมณ์ดีดน้ำเต้าเถา มุล่งเถา แมลงภู่ทองเถา ยวนเคล้าเถา ช้างกินใบไผ่เถา ระหกระเหินเถา ระส่ำระสายเถา ไส้พระจันทร์เถา ลาวเสี่งเทียนเถา แสนคำนึงเถา สาวเวียงเหนือเถา สาริกาเขมรเถา โอ้ลาวเถา ครุ่นคิดเถา กำสรวลสุรางค์เถา แขกไทรเถา สุรินทราหูเถา เขมรภูมิประสาทเถา แขไขดวงเถา พระอาทิตย์ชิงดวงเถา กราวรำเถา ฯลฯ
หลวงประดิษฐไพเราะถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497รวมอายุ 73 ปี    (ชีวประวัติของท่านเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องโหมโรง)
 
         อ้างอิง:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0_(%E0%B8%A8%E0%B8%A3_%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%87)
 
 
 
 

หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร)



 หลวงประดิษฐ์ไพเราะ  (มี ดุริยางกูร)
 
 
 
           หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) หรือ ครูมีแขก เกิดตอนปลายรัชกาลที่ 1แห่งพระราชวงศ์จักรี ท่านเป็นครูดนตรีมาตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
            ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 นั้น ครูมีแขกได้เป็นครูปี่พาทย์ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงประดิษฐ์ไพเราะ" เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2396 ตำแหน่งปลัดจางวางมหาดเล็กว่าราชการกรมปี่พาทย์ ฝ่ายพระบวรราชวัง ในปีเดียวกันนั้นเองท่านได้แต่งเพลงเชิดจีน แล้วนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่สมพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจึงโปรดให้เลื่อนบรรดาศักดิ์จากหลวงเป็นพระประดิษฐ์ไพเราะ  (มี ดุริยางกูร) ได้รับสมญาว่าเป็นเจ้าแห่งเพลงทยอย เพราะผลงานเพลงลูกล้อลูกขัด เช่น ทยอยนอก ทยอยเขมร ล้วนเป็นผลงานของท่านทั้งนั้น
ผลงานของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก) เท่าที่รวบรวมและปรากฏไว้ มีดังนี้
            โหมโรงขวัญเมือง การะเวกเล้ก สามชั้น กำสรวลสุรางค์ สามชั้น แขกบรรทศ สามชั้น แขกมอญ สามชั้น แขกมอญบางช้าง สามชั้น ทะแย สามชั้น สารถี สามชั้น พญาโศก สามชั้น และสองชั้น พระอาทิตย์ชิงดวง สองชั้น จีนขิมใหญ่ สองชั้น เชิดจีน ทยอยนอก ทยอยเดี่ยว ทยอยเขมร เทพรัญจวน หกบท สามชั้น อาเฮีย สามชั้น (ท่านถึงแก่กรรม ประมาณรัชกาลที่ 5)

        อ้างอิง:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0_(%E0%B8%A1%E0%B8%B5_%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A3)

เครื่องเป่า

เครื่องเป่า

     เครื่องเป่า ใบไม้เป็น เครื่องเป่าที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์  จ้องหน่อง เป็นทั้งเครื่องเป่า และ เครื่องตี รวมกันอยู่อันเดียวกันทำด้วยไม้ไผ่การเล่นจะต้องตีและเป่าพร้อมกัน แคน เป็นเครื่องเป่าที่นิยมมากในอิสาน ปี่ ที่เป็นของไทยมีปี่นอกเสียงแหลมกว่าเรียกว่าปี่ในปี่ไฉนไทยได้แบบมาจาก อินเดีย ปี่ชวาปี่มอญปี่ซอ ปี่อ้อใช้ในการบรรเลงเพลงพื้นเมืองปี่ใช้ในวงปี่พาทย์เทคนิคในการเป่า้ ได้ทนกินเวลานานโดยไม่เหนื่อยคือเวลาเป่าลมออกไปนักเป่าปี่จะใช้ช่องจมูกดูดลมเข้าไปเก็บไว้สำรอง เสียงที่เป่าลมออกจึงไม่ขาดเพราะการหยุดหายใจเข้า ปี่ ขลุ่ย ที่ทำด้วยไม้เจาะรูกลวง ตลอดเลาขลุ่ย แล้วเจาะรูกลมบนเลาขลุ่ยอีก7รู
 
 
.ขลุ่ยหลีบ
        ขลุ่ยหลีบหรือขลุ่ยหลีกเป็นขลุ่ยขนาดเล็กที่สุด  เกิดขึ้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์   มีความยาว  ประมาณ  25 ซ.ม. กว้างประมาณ  2  ซ.ม.   มีเสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ  3  เสียง     เป็นขลุ่ยชนิดเดียวที่เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องนำ    ใช้ผสมในวงเครื่องสายเครื่องคู่  และวงมโหรีเครื่องใหญ่ 
 
๒.ปี่
        ปี่ เป็นเครื่องดนตรีไทย ทำด้วยไม้จริงเช่นไม้ชิงชันหรือไม้พยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลางป่อง เจาะภายในให้กลวงตลอดเลา ทางหัวของปี่เป็นช่องรูเล็กส่วนทาง ปลายของปี่ ปากรูใหญ่ใช้ชันหรือวัสดุอย่างอื่นมาหล่อเสริมขึ้นอีกราวข้างละ ครึ่งซม ส่วนหัวเรียก ทวนบน ส่วนท้ายเรียก ทวนล่าง ตอนกลางของปี่ เจาะรูนิ้วสำหรับเปลี่ยนเสียงลงมาจำนวน 6 รู แต่สามารถเป่าได้เสียงตรง 24 เสียง กับเสียงควงหรือเสียงแทนอีก 8 เสียง รวมเป็น 32 เสียง รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เว้นระยะห่างเล็กน้อย เจาะรูล่างอีก 2 รู ตรงกลางของเลาปี่ กลึงขวั้นเป็นเกลียวคู่ไว้เป็นจำนวน 14 คู่ เพื่อความสวยงามและกันลื่นอีกด้วย ตรงทวนบนนั้นใส่ลิ้นปี่ที่ทำด้วยใบตาลซ้อนกัน 4 ชั้น ตัดให้กลมแล้วนำไปผูกติดกับท่อลมเล็กๆที่ เรียกว่า กำพวด เรียวยาวประมาณ 5 ซม. กำพวดนี้ทำด้วยทองเหลือง เงิน นาก หรือโลหะอย่างอื่นวิธีผูกเชือกเพื่อ ให้ใบตาลติดกับกำพวดนั้น ใช้วิธีผูกที่เรียกว่า ผูกตะกรุดเบ็ด ส่วนของกำพวดที่จะต้องสอดเข้าไปเลาปี่นั้นเขาใช้ถักหรือเคียน ด้วยเส้นด้าย สอดเข้าไปในเลาปี่ให้พอมิดที่พันด้ายจะทำให้เกิดความแน่นกระชับยิ่งขึ้น
 
 
 
 
 
คลิปVDO ตัวอย่าง
 
 
 
ขลุ่ย
 

ขลุ่ย

 
 
 
ปี่
 

ปี่

 
 
 
 
        อ้างอิง:http://www.bs.ac.th/musicthai/page4.html

เครื่องสี

เครื่องสี

     เครื่องสคือเครื่องดนตรีที่ใช้สายขึงให้ตึงเช่นเดียวกับเครื่องดีด ซอสามสายต้องใช้กะลามะพร้าวรูปร่างพิเศษทำมาทำตัวกระโหลกซึ่งมีลักษณะเป็นพู 3 พูตัวหนังลูกแพะมีสาย3สายเสียงเพราะใช้เทคนิคการสี ที่สลับซับซ้อนค่อนข้างยากเช่น ซออู้ ซอด้วง มีลักษณะคล้ายซอของจีนมีเพียง 2 สายคันชักสอดอยู่ในระหว่างสายทั้งสอง
 
 
 ๑.ซอด้วง
        ซอด้วงเป็นซอสองสาย มีเสียงแหลม ก้องกังวาน คันทวนยาวประมาณ 72 ซม คันชักยาวประมาณ 68 ซม ใช้ขนหางม้าประมาณ 120 – 150 เส้น กะโหลกของ ซอด้วงนั้น แต่เดิมใช้กระบอกไม้ไผ่มาทำ ปากกระบอกของซอด้วงกว้างประมาณ 7 ซม ตัวกระบอกยาวประมาณ 13 ซม กะโหลกของซอด้วงนี้ ในปัจจุบันใช้ไม้จริง หรือ งาช้างทำก็ได้แต่ที่นิยมว่าเสียงดีนั้น กะโหลกซอด้วงต้องทำด้วยไม้ลำเจียก ส่วนหน้าซอนิยมใช้หนังงูเหลือมขึง เพราะทำให้เกิดเสียงแก้วเกิดความไพเราะอย่างยิ่ง ลักษณะของซอด้วง มีรูปร่างเหมือนกับซอของจีนที่เรียกว่า ฮู – ฉิน (Huchin) ทุกอย่าง เหตุที่เรียกว่า ซอด้วง ก็เพราะมีรูปร่างคล้ายเครื่องดักสัตว์ เพราะตัวด้วงดักสัตว์ ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่เหมือนกีนจึงได้เรียกชื่อไปตามลักษณะนั้นนั่นเอง สายซอด้วงนั้น มีเพียงสองสายและมีเสียงอยู่ สองเสียง คือสายเอกจะเป็นเสียง "เร" ส่วนสายทุ้มจะเป็นเสียง "ซอล" โดยใช้สายไหมฟั่นหรือว่าสายเอ็นก็ได้ ซอด้วงใช้ในวงเครื่องสาย วงมโหรี โดยทำหน้าที่เป็นผู้นำวงและเป็นหลักในการดำเนินทำนอง
 
 
 
 
 
๒.ซอสามสาย
        ซอสามสาย เป็นเครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่งของไทยเรา มีชื่อตามลักษณะรูปร่าง คือ มี 3 สาย เหมือนกับเครื่องดนตรีของจีนที่เรียกว่า สานเสียน (Sanhsien) และเครื่องดนตรีของญี่ปุ่นที่เรียกว่า ซามิเส็น (Shamisen) แต่ทั้งสานเสียนของจีนและซามิเส็นของญี่ปุ้น เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด สานเสียนของจีน กะโหลกเป็นรูปสี่เหลี่ยมลบมุมจนเกือบเป็นรูปไข่ ขึ้นหน้าด้วยหนังงูเหลือม และดีดด้วยนิ้วมือ ส่วนซามิเส็น ของญี่ปุ่น รูปกะโหลกเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยม ด้านข้างโค้งเล็กน้อยทั้งสี่ด้าน ขึ้นหน้าด้วยไม้ และดีดด้วยไม้ดีดรูปร่างคล้ายๆขวาน แต่เครื่องดนตรีทั้งสองชนิดนี้ ก็มีสามสายเช่นเดียวกับซอสามสายเช่นเเดียวกัน
 
 
 
 
 
๓.ซออู้
        ซออู้ เป็นเครื่องสายใช้สี กล่องเสียงทำด้วยกะลามะพร้าวเรียกว่า “กะโหลกซอ” ตัดตามยาวให้พูอยู่ข้างบน ใช้เป็นเครื่องอุ้มเสียง ขึงหน้าด้วยหนังวัว คันทวนทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ตอนบนมีลูกบิดสำหรับขึงสาย สายซอทำด้วยไหมฟั่นมีคันชักอยู่ระหว่างสาย กะโหลกและทวนบางคันก็แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจงสวยงามน่าดู ซออู้มีเสียงทุ้มต่ำ บรรเลงคู่และสอดสลับกับซอด้วงในวงเครื่องสายและวงมโหรี เมื่อราวสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาภายหลังได้นำเข้ามาบรรเลงร่วมในวงปี่พาทย์ไม้นวม และวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ด้วย ในการปรับปรุงวงดนตรีประกอบการแสดงละครของกรมศิลปากรซึ่งจัดแสดง ณ โรงละครศิลปากร ได้ปรับปรุงวงปี่พาทย์โดยให้ซออู้บรรเลงร่วมด้วยตามโอกาส
 
 
 
 
 
 
คลิปVDO ตัวอย่าง
 
 
ซอด้วง
 

ซอด้วง

 
 
ซออู้
 

ซออู้

 
 
ซอสามสาย
 

ซอสามสาย

 
 
 
 
        อ้างอิง:http://www.bs.ac.th/musicthai/page2.html

เครื่องตี

เครื่องตี

-เครื่องดนตรีที่ทำด้วยหนัง
    เครื่องตี ที่ทำด้วยโลหะได้รับอิทธิพลจากมอญได้แก่ ฆ้องวงปี่พาทย์ เดิมใช้ใบเดียวต่อมาใช้ฆ้อง2ใบเล่นรวมกันเรียกว่า ฆ้องคู่ จนในที่สุดใช้ฆ้อง 16 ใบเรียกว่า ฆ้องวง เครื่องตีที่ทำด้วยหนังได้รับอิทธิพลจาก อินเดีย มลายู และชวา ได้แก่ กลองชาตรี กลองแขก กลองทัดกลองโทนกลองสองหน้า กลองแขกเป็นกลองคู่2ใบนิยมใช้ประสมวงประกอบจังหวะในดนตรีไทยทุกประเภทใช้มือตี ส่วน เกราะ เป็นเครื่องตีที่ทำด้วยไม้เป็นของโบราณใช้ตีบอกเหตุอันตรายหรือเรียกประชุมใช้ให้จังหวะในการแสดงนาฏศิลป์ กรับ ทำด้วยไม้ที่เบากว่าใช้แสดงร่วมกับการขับร้อง ระนาด ทำด้วยไม้เนื้อแข็งนิยมนำมาประสมวงปี่พาทย์

๑.กลองทัด
    กลองทัด มีรูปทรงกระบอก กลางป่องออกเล็กน้อย ขึ้นหนังสองหน้า ตรึงด้วยหมุดที่เรียกว่า "แส้" ซึ่งทำด้วยไม้ งาช้าง กระดูกสัตว์ หรือโลหะ หน้ากลองด้านหนึ่งติดข้าวตะโพน แล้วตีอีกด้านหนึ่ง ใช้ไม้ตีสองอัน สำรับหนึ่งมีสองลูก ลูกเสียงสูงเรียกว่า "ตัวผู้" ลูกเสียงต่ำเรียกว่า "ตัวเมีย" ตัวผู้อยู่ทางขวา และตัวเมียอยู่ทางซ้ายของผู้ตี กลองทัดน่าจะเป็นกลองของไทยมาแต่โบราณ ใช้บรรเลงรวมอยู่ในวงปีพาทย์มาจนถึงปัจจุบัน
 
๒.กลองแขก
    กลองแขก มีรูปร่างยาวเป็นกระบอก หน้าด้านหนึ่งใหญ่เรียกว่า "หน้ารุ่ย" หน้าด้านหนึ่งเล็กเรียกว่า "หน้าต่าน" หนังหน้ากลอง ทำด้วยหนังลูกวัว หนังแพะ ใช้เส้นหวายฝ่าชีกเป็นสายโยงเร่งให้ตึงด้วยรัดอก สำรับหนึ่งมีสองลูก ลูกเสียงสูงเรียกว่า "ตัวผู้" ลูกเสียงต่ำเรียกว่า "ตัวเมีย" การตี การตีใช้ฝ่ามือทั้งสอง ตีทั้งสองหน้าให้เสียงสอดสลับกันทั้งสองลูก กลองชนิดนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กลองชะวา"
-เครื่องดนตรีที่ทำด้วยโลหะ
 ๑.ฆ้องวงใหญ่
    ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงใหญ่ มีลูกฆ้อง ๑๖ ลูก ลูกเสียงต่ำสุดเรียกว่า ลูกทวน ลูกเสียงสูงสุดเรียกว่า ลูกยอด ไม้ที่ใช้ตีมีสองอัน ผู้ตีถึงไม้ตีมือละอัน
๒.ฆ้อง
        ฆ้อง ตัวฆ้องทำด้วยโลหะแผ่นรูปวงกลมตรงกลางทำเป็นปุ่มนูน เพื่อใช้รองรับการตีให้เกิดเสียงเรียกว่า ปุ่มฆ้อง ต่อจากปุ่มเป็นฐานแผ่ออกไป แล้วงองุ้มลงมาโดยรอบเรียกว่า "ฉัตร" ส่วนที่เป็นพื้นราบรอบปุ่มเรียกว่า "หลังฉัตร" หรือ " ชานฉัตร" ส่วนที่งอเป็นขอบเรียกว่า "ใบฉัตร" ที่ใบฉัตรนี้จะมีรูเจาะสำหรับร้อยเชือกหรือหนังเพื่อแขวนฆ้อง ถ้าแขวนตีทางตั้งจะเจาะสองรู ถ้าแขวนตีทางนอนจะเจาะสี่รู
        การบรรเลง ฆ้องใช้ในการบรรเลงได้สองลักษณะคือ ใช้ตีกำกับจังหวะ และใช้ตีดำเนินทำนอง ฆ้องที่ใช้ตีกำกับจังหวะได้แก่ ฆ้องหุ่ย หรือฆ้องชัย ฆ้องโหม่ง ฆ้องเหม่ง ฆ้องระเบ็ง และฆ้องคู่  ฆ้องที่ใช้ตีดำเนินทำนอง ได้แก่ ฆ้องราง ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ฆ้องมโหรี ฆ้องมอญ ฆ้องกะแตและฆ้องหุ่ย หรือฆ้องชัย ฆ้องกะแต ใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์มอญ ลูกฆ้องมีขนาดเล็ก จำนวน ๑๑ ลูก

-เครื่องดนตรีที่ทำด้วยไม้
๑.ระนาดเอก
        ระนาดเอก ที่ให้เสียงนุ่มนวล นิยมทำด้วยไม้ไผ่บง ถ้าต้องการ ให้ได้เสียงเกรียวกราว นิยมทำด้วยไม้แก่น ลูกระนาดมี ๒๑ ลูก ลูกที่ ๒๑ หรือลูกยอด จะมีขนาดสั้นที่สุด ลูกระนาด จะร้อยไว้ด้วยเชือกติดกันเป็นผืนแขวนไว้บนราง ซึ่งทำด้วย ไม้เนื้อแข็งรูปร่างคล้ายเรือ ด้ามหัวและท้ายโค้งขึ้นเพื่อให้อุ้มเสียง มีแผ่นไม้ปิดหัวและท้ายรางเรียกว่า "โขน" ฐานรูปสี่เหลี่ยมเรียกว่า "ปี่พาทย์ไม้แข็ง" ไม้ตีอีกชนิดหนึ่งทำด้วยวัสดุที่นุ่มกว่า ใช้ผ้าพัน แล้วถักด้ายสลับ เวลาตีจะให้เสียงนุ่มนวล เมื่อผสมเข้าวงเรียกว่า "ปีพาทย์ไม้นวม"
        วิธีตี เมื่อตีตามจังหวะของลูกระนาดแล้วจะเกิดเสียงกังวาล ลดหลั่นกันไปตามลูกระนาด ระนาดที่ให้เสียงแกร่งกร้าว อันเป็นระนาดดั้งเดิมเรียกว่า ระนาดเอก
.ระนาดทุ้
        ระนาดทุ้ม เลียนแบบระนาดเอก สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลูกระนาดมีจำนวน ๑๗-๑๘ ลูก ตัวลูกมีขนาดกว้างและยาวกว่าของระนาดเอก ตัวรางก็แตกต่าง จากระนาดเอก คือเป็นรูปคล้ายหีบไม้แต่เว้ากลาง มีโขนปิดหัวท้าย มีเท้าอยู่สี่มุมราง ไม้ตีตอนปลายใช้ผ้าพันพอกให้โต และนุ่ม เวลาตีจะได้เสียงทุ้ม
        วิธีตี ตีตามจังหวะของลูกระนาดใช้บรรเลงในวงปีพาทย์ทั่วไป มีวิธีการบรรเลง แตกต่างไปจากระนาดเอก คือไม่ได้ยึดการบรรเลงคู่ ๘ เป็นหลัก

 
คลิปVDO ตัวอย่าง
กลองแขก

กลองแขก

ฆ้องวงใหญ่

ฆ้องวงใหญ่

ระนาดเอก

ระนาดเอก

        อ้างอิง:http://www.bs.ac.th/musicthai/s2.html
        อ้างอิง:http://www.bs.ac.th/musicthai/songwood.html
        อ้างอิง:http://www.bs.ac.th/musicthai/s1.html

เครื่องดีด

เครื่องดีด


๑.กระจับปี่
        กระจับปี่ เป็นพิณชนิดหนึ่งมี ๔ สาย กระพุ้งพิณมีลักษณะเป็นกล่องแบนรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูมุมมน ด้าน หน้าทำเป็นช่องให้เสียงกังวาน ทวนทำเป็นก้านเรียวยาว และกลมกลึง ปลายแบนและงอนโค้งไปด้านหลัง ตรงปลายทวนมีลิ่มสลักเป็นลูกบิดไม้สำหรับขึ้นสาย ๔ ลูก สายส่วนมากทำด้วยสายเอ็นหรือลวดทองเหลือง ตลอดแนวทวนด้านหน้าทำเป็น "สะพาน"หรือ นม ปักทำด้วยไม้เขาสัตว์หรือกระดูกสัตว์สำหรับหมุนสายมี๑๑ นมกระจับปี่พัฒนามาจากเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งของอินเดีย มีต้นกำเนิดจากการดีดสายธนู ตามหลักฐาน พบว่า กระจับปี่มีมาตั้งแต่ สมัยสุโขทัย
 
๒.พิณน้ำเต้า
        พิณน้ำเต้า สันนิษฐานว่า พิณมีกำเนิดในประเทศ ทางตะวันออก พิณโบราณเรียนพิณน้ำเต้า ซึ่งมีลักษณะเป็นพิณสายเดี่ยว สันนิษฐานว่าชาวอินเดียนำมาแพร่หลาย ในดินแดนสุวรรณภูมิ การที่เรียกว่าพิณน้ำเต้า เพราะใช้ เปลือกผลน้ำเต้ามาทำ คันพิณที่เรียกว่า ทวน ทำด้วยไม้เหลา ให้ปลายข้างหนึ่ง เรียวงอนโค้งขึ้นสำหรับผูกสายที่โคนทวน เจาะรูแล้วเอาไม้มาเหลาทำลูกบิด สำหรับบิดให้สายตึงหรือหย่อน เพื่อให้เสียงสูงต่ำสายพิณมีสายเดียวเดิมทำด้วยเส้นหวาย ต่อมาใช้เส้นไหม และใช้ลวดทองเหลืองใน
๓.จะเข้
        จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีที่วางดีดตามแนวนอน ทำด้วยไม้ท่อนขุดเป็นโพรงอยู่ภายใน นิยมใช้ไม้แก่นขนุน เพราะให้เสียงกังวาลดีด้านล่างเป็นพื้นไม้ ซึ่งมักใช้ไม้ฉำฉา เจาะรูไว้ให้เสียงออกดีขึ้น มีขาอยู่ตอนหัว ๔ ขา ตอนท้าย ๑ ขา มีสาย ๓ สาย คือ สายเอก(เสียงสูง) สายกลาง(เสียงทุ้ม) ทั้งสองสายนี้ทำด้วยเอ็นหรือไหมฟั่น เป็นเกลียว สายที่สามเรียกสายลวด(เสียงต่ำ)ทำด้วยลวดทองเหลืองทั้งสามสายนี้ขึงจากหลักตอนหัวผ่านโต๊ะ (กล่องทองเหลืองกลวง) ไปพาดกับ "หย่อง" แล้วสอดลงไปพันกันด้านลูกบิด(ปักทำด้วยไม้หรืองา) สายละลูก โต๊ะนี้ทำหน้าที่ขยายเสียงของจะเข้ให้คมชัดขึ้นระหว่างรางด้านบนกับสายจะเข้จะมีชิ้นไม้เล็กๆ ทำเป็นสันหนา เรียกว่า"นม" ๑๑ นม วางเรียงไปตามแนวยาวเพื่อรองรับการกดจากนิ้วมือขณะบรรเลง นมเหล่านี้มีขนาด สูงต่ำ ลดหลั่นกันไปทำให้เกิดเสียงสูง-ต่ำ เวลาดีดจะใช้ไม้ดีดที่ทำด้วยงาหรือเขาสัตว์กลึงเป็นท่อนกลม ปลายเรียว แหลมมนดีดปัดสายไปมา ไม้ดีดนี้จะพันติดกับนิ้วชี้มือขวาส่วนมือซ้ายใช้กดนิ้วบนสายถัดจากนม ไปทางซ้าย เล็กน้อย เพื่อให้เกิดเสียงสูงต่ำตามที่ต้องการ
 คลิปVDO ตัวอย่าง
กระจับปี่

กระจับปี่

พิณน้ำเต้า

พิณน้ำเต้า

จะเข้

จะเข้

         อ้างอิง:http://www.bs.ac.th/musicthai/page1.html

        เครื่องดีด ได้แก่  เครื่องดนตรีที่มีสายเสียงเป็นสะพานวางสาย แล้วใช้ไม้ตัดปลายแหลมทู่ เป็นเครื่องมือดีดสายร่วมกับใช้นิ้วมือซึ่งจะคอยกดปิดเปิดเสียงตามฐานเสียงระดับต่างๆ เครื่องดนตรีประเภทดีด ซึ่งยังคงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ จะเข้ นอกจากนั้นก็เป็น พิณ และ กระจับปี่ ซึ่งมีผู้นำมาบรรเลงบ้างเป็นครั้งคราว

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

วงมโหรี

วงมโหรี
วงมโหรีเป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายครบหมดทั้งวงประสมด้วยเครื่องดนตรีบางชนิดในวงปี่พาทย์  คือ  ระนาดเอก   ระนาดทุ้ม  ระนาดเอกเหล็ก  ระนาดทุ้มเหล็ก  ฆ้องวงใหญ่  ฆ้องวงเล็ก  แต่ย่อขนาดให้เล็กลง  งานที่เหมาะสำหรับจะใช้วงมโหรีไปบรรเลงคือ  งานมงคลสมรส  งานขึ้นบ้านใหม่  งานเลี้ยงรับรอง  งานทำบุญวันเกิด 

วงปี่พาทย์

วงปี่พาทย์
วงปี่พาทย์เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องตี เป็นหลักโดยมีเครื่องเป่าคือขลุ่ยหรือปี่ร่วมอยู่ด้วย ใช้สำหรับเป็นเครื่องประโคมในพิธีกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงโขน ละคร ฟ้อนรำ และมีการผสมวงตามโอกาสที่ใช้ทำให้จำนวนของเครื่องดนตรีมีน้อยมากแตกต่างกันไป

วงปี่พาทย์ชาตรี   
              เป็นวงดนตรีเก่าแก่ที่มีมาแต่โบราณ  ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโนราห์ชาตรี  และหนังตลุงทางภาคใต้ของไทย  เรียกว่า วงปี่พาทย์ชาตรี “  และที่เรียกว่า วงปี่พาทย์เครื่องเบา เพราะเรียกชื่อให้ตรงกันข้ามกับ ปี่พาทย์เครื่องหนัก “ ( ปี่พาทย์ไม้แข็ง ) ทั้งนี้เพราะเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ชาตรีมีน้ำหนักเบากว่าเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง 
        ปี่พาทย์ชาตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรีดังนี้
              1.  ปี่                    
              2.  โทนชาตรี                   
              3.  กลองชาตรี  ( กลองตุ๊ก )            
              4.  ฆ้องคู่                
              5.  ฉิ่ง                       
              6.  กรับไม้
วงปี่พาทย์ไม้แข็ง
วงปี่พาทย์ไม้แข็งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  วงปี่พาทย์เครื่องหนัก  วงปี่พาทย์จัดเป็นวงดนตรี
ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายสูงสุดในกลุ่มวงปี่พาทย์ และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นวงดนตรีที่มีความเป็นมาตรฐานที่สูงสุดอีกด้วย เครื่องดนตรีที่สังกัดในวงดนตรีประเภทนี้ทุกเครื่องจะมีเสียงดัง เนื่องจากบรรเลงด้วยไม้ตีชนิดแข็ง จึงเรียกชื่อวงดนตรีชนิดนี้ว่า ปี่พาทย์ไม้แข็ง ตามลักษณะของไม้ที่ใช้บรรเลง
            บรรเลง อรรถรสที่ได้จากการฟังดนตรีชนิดนี้จึงมีทั้งความหนักแน่น สง่าผ่าเผย คล่องแคล่ว และสนุกครึกครื้น  จึงสามารถบรรเลงได้ในโอกาสทั่วๆไป  เช่น  งานพระราชพิธี  งานบวชนาค  งานโกนจุก  เทศน์มหาชาติ  ประกอบการแสดง  โขน  ละคร  ลิเก  หนังใหญ่  เป็นต้น


วงปี่พาทย์ไม้แข็งสามารถแบ่งตามขนาดของวง   ได้เป็น ๓ ขนาด คือ


วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า
วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีรายการละหนึ่งเครื่อง โดยแต่เดิมนั้นประกอบด้วยปี่ใน ระนาดเอก (ทำหน้าที่ดำเนินลำนำ) ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน และกลองทัด จนมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงได้เพิ่มฉิ่งขึ้นอีกสิ่งหนึ่ง
ดังนั้น ในปัจจุบัน วงปี่พาทย์เครื่องห้า จึงประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีและกำกับจังหวะรวมกันเป็นจำนวน ๖ เครื่อง กล่าวกันว่า สาเหตุที่เรียกเครื่องห้าอาจเป็นเพราะตะโพนและกลองทัดจัดเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเครื่องหนังหรือกลองทั้งคู่ จึงนับจำนวนหน่วยเป็นหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ผู้รู้บางท่านก็ได้กล่าวไว้ในอีกแง่หนึ่งว่าการที่เรียกว่าปี่พาทย์เครื่องห้า แต่มีเครื่องดนตรี ๖ ชิ้นนั้น อาจเป็นเพราะผู้บรรเลงกลอง อาจจะเลือกตี ตะโพนหรือ กลองสองหน้าอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมของเพลง เครื่องดนตรีต่างๆ มีดังนี้
ปี่ใน ๑ เลาระนาดเอก ๑ รางฆ้องวงใหญ่ ๑ วงตะโพน ๑ ใบกลองทัด ๑ คู่ (แต่เดิมมี ๑ ใบ เพิ่งมาเพิ่มเป็นคู่เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑)ฉิ่ง ๑ คู่

วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่  
                 วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่ พัฒนามาจากวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้าโดยการจัดเครื่องดนตรีให้เป็นคู่กัน  จึงเรียกว่าวงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงปี่พาทย์ชนิดนี้เกิดขึ้นในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โดยมีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นเพื่อให้คู่กับระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่

วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่                                                                                                                                            
            วงดนตรีประเภทนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดยเครื่องดนตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่เป็นหลัก แต่มีการเพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กขึ้นอีกอย่างละราง นับเป็นวงปี่พาทย์ไม้แข็งที่มีวิวัฒนาการสูงสุดในปัจจุบัน

วงปี่พาทย์ไม้นวม
วงปี่พาทย์ไม้นวมเกิดขึ้นจากความต้องการวงดนตรีที่มีเสียงหวานนุ่มหู และไม่ดังจนเกินไป กำเนิดของวงปี่พาทย์ไม้นวมนี้ ได้มาจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเครื่องดนตรีและการประสมวงปี่พาทย์ไม้แข็งเสียใหม่ กล่าวคือ เปลี่ยนไม้ที่ใช้สำหรับบรรเลงระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็กที่แต่เดิมเคยใช้ไม้แข็งมาใช้ไม้นวมแทน  ทำให้ลดความดังและเกรี้ยวกราดของเสียงลง เครื่องเป่าแต่เดิมที่ใช้ปี่ซึ่งมีเสียงดังมากจึงเปลี่ยนมาใช้ขลุ่ยเพียงออซึ่งมีเสียงที่เบากว่า และยังเพิ่มซออู้เข้าไปอีก ๑ คัน ทำให้วงมีเสียงนุ่มนวลและกลมกล่อมมากขึ้นกว่าเดิม

            วงปี่พาทย์ไม้นวมสามารถแบ่งตามขนาดของวง   ได้เป็น ๓ ขนาด คือ
วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องห้า   
วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องคู่   
วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องใหญ่          






วงปี่พาทย์มอญ
วงปี่พาทย์มอญเป็นวงดนตรีที่ปัจจุบันนิยมใช้บรรเลงในงานศพ แต่เดิมวงดนตรีชนิดนี้บรรเลงกันเฉพาะในหมู่ของชาวไทยรามัญเท่านั้น  สมัยรัชกาลที่  3   และใช้บรรเลงได้ในโอกาสต่างๆทั้งในโอกาสมงคลและอวมงคลทั่วไป  ไม่ได้จำกัดเฉพาะพิธีศพเช่นในปัจจุบัน
ลักษณะที่เด่นชัดของวงปี่พาทย์มอญคือ จะมีระดับเสียงที่ทุ้มต่ำกังวานลึก เครื่องดนตรีที่มีลักษณะแตกต่างจากวงดนตรีชนิดอื่นอย่างเด่นชัด ได้แก่ เปิงมางคอก

วงปี่พาทย์มอญสามารถแบ่งตามขนาดของวง   ได้เป็น ๓ ขนาด คือ
วงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า
    
วงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่     
วงปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่     

วงปี่พาทย์นางหงส์
          คือวงปี่พาทย์ธรรมดาที่นำมาใช้บรรเลงประโคมศพแต่ ใช้ปี่ชวา1 เลา แทน ปี่นอก และ ปี่ใน และนำกลองมลายู 1 คู่ มาแทนกลอง
แขกโดยตัด ตะโพน และ กลองทัด ออกแต่ยังคง โหม่ง ไว้

          วงปี่พาทย์นางหงส์ใช้บรรเลงเฉพาะในงานศพมาแต่โบราณก่อนวงปี่พาทย์มอญ เหตุที่เรียกว่าปี่พาทย์นางหงส์ก็เพราะใช้เพลงเรื่องนางหงส์ 2 ชั้นเป็นหลักสำคัญในการบรรเลง


วงปี่พาทย์มอญ
          วงปี่พาทย์มอญนั้นโดยแท้จริงแล้วใช้บรรเลงได้ในโอกาสต่างๆทั้งงานมงคล เช่นงานฉลองพระแก้วมรกตในสมัยธนบุรีและงานอวมงคล
เช่นงานศพ การที่วงปี่ พาทย์มอญเป็นที่นิยมบรรเลงเฉพาะในงานศพในปัจจุบันก็เพราะว่าท่วงทำนองเพลง และการบรรเลงมีสำเนียงและลีลาที่
โศกเศร้าเข้ากับบรรยากาศของงานศพดังลายพระ หัตถ์ที่สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงมีถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงเดชานุภาพ ในหนังสือ
สาส์นสมเด็จที่กล่าวถึงที่มาของการใช้วงปี่พาทย์มอญประโคมในงานศพมี ความว่า
          "เรื่องที่ใช้ปี่พาทย์มอญในงานศพนั้นหม่อมฉันเคยได้ยินสมเด็จพระพุทธเจ้า หลวงตรัสเล่าว่าปี่พาทย์มอญทำในงานหลวงครั้งแรกเมื่องาน
สมเด็จพระเทพสิรินทรา บรมราชินีด้วยทูลกระหม่อมทรงพระราชดำริว่าสมเด็จพระเทพสิรินทราฯทรงเป็นเชื้อ สายมอญแต่จะเป็นทางไหนหม่อม
ฉันไม่ทราบเคยได้ยินแต่ชื่อพระญาติคนหนึ่งเรียกว่า
"ท้าวทรงกันดาล ทรงมอญ"ว่าเพราะเป็นมอญพระองค์คงจะทราบดีว่าคงเป็นเพราะเหตุ นั้น
งานพระศพพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่
5 จึงโปรดให้มีปี่พาทย์มอญเพิ่มขึ้นโดยเป็น เชื้อสายของสมเด็จพระเทพสิรินทราฯ คนภายนอกอาจจะเอา
อย่างงานพระศพหลวงไป เพิ่มหรือไปหาเฉพาะปี่พาทย์มอญมาทำในงานศพโดยไม่รู้เหตุเดิมแล้วจึงทำตามกันต่อ มาจนพากันเข้าใจว่างานศพต้องมีปี่พาทย์มอญจึงจะเป็น "ศพผู้ดี"เหมือนกับเผาศพต้อง จุดพลุญี่ปุ่นกันแพร่หลายอยู่คราวหนึ่ง อันที่จริงปี่พาทย์มอญนั้นชาวมอญเขาก็ใช้ทั้งใน
งานมงคลและงานศพเหมือนกับปี่พาทย์ไทย กลองคู่กับปี่ชวา และ ฆ้อง ประสมกันซึ่ง เรียกว่า "บัวลอย" ก็ใช้ทั้งงานศพและงานมงคล"
          หนังสือเพลงดนตรี ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2538 เรื่อง "ปี่พาทย์มอญและ เพลงมอญ" หน้า 55 - 65 เขียนโดย อาจารย์อานันท์
นาคคง ได้กล่าวถึงการแพร่ขยาย และความนิยมในการบรรเลงปี่พาทย์มอญตามวัดต่างๆไว้ดังนี้
          "บุคคลสำคัญซึ่งเป็นตำนานของปี่พาทย์มอญที่สมควรกล่าวถึงมีอยู่ 2 คน คือ ครูสุ่ม เจริญดนตรี และ ครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร
ศิลปบรรเลง) ประวัติของครูสุ่ม นั้นค่อนข้างสับสน กล่าวกันว่าท่านเป็นคนมอญที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในราว รัชกาลที่
5 - 6 ท่านเป็นผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญเพลงมอญและได้นำฆ้องวงของมอญเข้ามาด้วย ครูสุ่มได้ตั้งบ้านเรือนและสำนักดนตรีอยู่ที่ถนนหลานหลวงตรงกับบริเวณ
หัวมุมสะพานนางร้องไห้ หรือที่ตั้งของกรมโยธาธิการในปัจจุบัน และได้ถ่ายทอดวิชาการบรรเลง เพลงมอญให้กับนักดนตรีไทยเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะ ครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ซึ่งเป็นครูดนตรีไทยคนสำคัญคนหนึ่งของแผ่นดินรัตนโกสินทร์ ตั้งบ้านดนตรีไทยอย
และแวกไม่ไกลนักคือตรง
"บ้านบาตร" อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย ย่านวังบูรพาฯ ครูหลวงประดิษฐไพเราะฯนั้นนับ ถือครูสุ่มว่าเป็นครูใหญ่ในเชิงปี่พาทย์มอญจึงหมั่นแวะไปมาหาสู่เรียนรู้เพลงกันอย่างสม่ำ เสมอจนต่อมาได้นำเอาความรู้เรื่องเพลงมอญไปขยายความต่ออย่างกว้างขวางโดยได้คิด ประดิษฐ์เพลงและเรียบเรียงเพลงไทยสำเนียงมอญขึ้นใหม่จนเป็นที่นิยมบรรเลงและขับ ร้องในหมู่นักดนตรีไทยรุ่นหลังๆกันสืบต่อมาเช่นเพลงชุดย่ำค่ำมอญที่ท่านเรียบเรียงขึ้น เป็นทางพิเศษมีการขยายเพลงเร็วหน้าเพลงย่ำค่ำขึ้นอีกและทำ "ทางเดี่ยว" สำหรับเครื่อง ดนตรีต่างๆในวงให้
แสดงฝีมือกันอย่างถึงอกถึงใจ รวมทั้งการทำ
"ทางเปลี่ยน" สำหรับ เพลงสำเนียงมอญอื่นๆอีกจำนวนมากให้มีรสชาติลีลาที่ลึกซึ้งเป็นที่ติดอกติด
ใจแก่ผู้ฟัง นอกจากนี้ยังมีผู้กล่าวกันอีกว่า ครูหลวงประดิษฐไพเราะฯ นั้น เป็นผู้ริเริ่มการประโคม ปี่พาทย์มอญตามวัดสำคัญๆในกรุงเทพฯ เช่น
วัดเทพศิรินทร์และวัดไตรมิตร เป็นต้นโดย การนำเอาเครื่องปี่พาทย์ไทยชนิด ลงรักปิดทองสวยงาม เข้าไปผสมกับเครื่องมอญทำให้ เกิดความ
นิยมในการเอาปี่พาทย์มอญไปบรรเลงตามวัดต่างๆ อย่างแพร่หลายในยุคต่อมา"
 
วงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า
          ประกอบด้วย ระนาดเอก ฆ้องมอญ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก และ เครื่องกำกับจังหวะ ได้แก่ ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง
วงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่
          มีลักษณะเดียวกับวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า แต่เพิ่ม ระนาดทุ้ม และ ฆ้องมอญวงเล็ก
วงปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่
          มีลักษณะเดียวกับวงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่ แต่เพิ่ม ระนาดเอกเหล็ก และ ระนาดทุ้มเหล็ก

          รูปแบบการจัดวางเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์มอญมีความแตกต่างจากวงปี่พาทย์ ไทยบางประการกล่าวคือมีการสลับนำฆ้องมอญมาตั้งไว้
หน้าระนาดทั้งนี้ อาจารย์อานันท์ นาคคง ได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า
"เหตุผลของการกำหนดแบบแผนให้ฆ้องวงของมอญตั้งอยู่ด้านหน้าวงปี่พาทย์
มอญ ในขณะที่วงปี่พาทย์ไทยชนิดอื่นๆจะตั้งฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็กอยู่หลังวงปี่พาทย์นั้นยัง ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้กำหนดและการตั้งวงปี่พาทย์มอญจริงๆจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ อาจ จะเป็นเหตุผลเพื่อความสวยงามเมื่อมองจากด้านหน้าของวงเข้าไปคือ สวยทั้งร้านฆ้อง และ การดำเนิน
มือฆ้องในขณะที่บรรเลง หรือจะเป็นการให้เกียรติว่า ฆ้องมอญ คือตัวแทนของ วัฒนธรรมมอญที่เด่นชัดที่สุดในวงหรืออาจเป็นด้วยเสียงฆ้อง
มอญเบากว่าระนาดซึ่งตีด้วย ไม้แข็ง หรือฆ้องมอญมีบทบาทหน้าที่ในการขึ้นวรรคนำของเพลงประโคมก็ยังไม่มีการยืน ยันที่แน่นอน"
เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์มอญประกอบด้วย
               - ปี่มอญ 1 เลา
               - ระนาดเอก 1 ราง
               - ระนาดทุ้ม 1 - 2 ราง
               - ฆ้องมอญวงใหญ่, กลาง, เล็ก จำนวนตามความเหมาะสม
               - ตะโพนมอญ 1 ใบ
               - เปิงมางคอก 1 ชุด
               - โหม่ง 3 ใบ
               - เครื่องกำกับจังหวะอื่นๆ
ทั้งนี้อาจเพิ่มเติม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก เข้าไปเพื่อให้ครบตามรูปแบบของ วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ด้วยก็ได้

วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์    ใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพสมเด็กเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงปรับปรุงขึ้นเมื่อ  .. 2441 สำหรับใช้ในการเล่นละครชนิดใหม่ที่เรียกว่าละครดึกดำบรรพ์ โดยหวังจะได้วงดนตรีที่มีเสียงที่หวานนุ่มหูอย่างวงออเคสตราของฝรั่ง เครื่องดนตรีที่ผสมอยู่ในวงปี่พาทย์ชนิดนี้ คัดเลือกเอาเฉพาะเครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลและไม้ตีระนาดต้องใช้ไม้นวมตี