หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

วงมโหรี

วงมโหรี
วงมโหรีเป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายครบหมดทั้งวงประสมด้วยเครื่องดนตรีบางชนิดในวงปี่พาทย์  คือ  ระนาดเอก   ระนาดทุ้ม  ระนาดเอกเหล็ก  ระนาดทุ้มเหล็ก  ฆ้องวงใหญ่  ฆ้องวงเล็ก  แต่ย่อขนาดให้เล็กลง  งานที่เหมาะสำหรับจะใช้วงมโหรีไปบรรเลงคือ  งานมงคลสมรส  งานขึ้นบ้านใหม่  งานเลี้ยงรับรอง  งานทำบุญวันเกิด 

วงปี่พาทย์

วงปี่พาทย์
วงปี่พาทย์เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องตี เป็นหลักโดยมีเครื่องเป่าคือขลุ่ยหรือปี่ร่วมอยู่ด้วย ใช้สำหรับเป็นเครื่องประโคมในพิธีกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงโขน ละคร ฟ้อนรำ และมีการผสมวงตามโอกาสที่ใช้ทำให้จำนวนของเครื่องดนตรีมีน้อยมากแตกต่างกันไป

วงปี่พาทย์ชาตรี   
              เป็นวงดนตรีเก่าแก่ที่มีมาแต่โบราณ  ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโนราห์ชาตรี  และหนังตลุงทางภาคใต้ของไทย  เรียกว่า วงปี่พาทย์ชาตรี “  และที่เรียกว่า วงปี่พาทย์เครื่องเบา เพราะเรียกชื่อให้ตรงกันข้ามกับ ปี่พาทย์เครื่องหนัก “ ( ปี่พาทย์ไม้แข็ง ) ทั้งนี้เพราะเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ชาตรีมีน้ำหนักเบากว่าเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง 
        ปี่พาทย์ชาตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรีดังนี้
              1.  ปี่                    
              2.  โทนชาตรี                   
              3.  กลองชาตรี  ( กลองตุ๊ก )            
              4.  ฆ้องคู่                
              5.  ฉิ่ง                       
              6.  กรับไม้
วงปี่พาทย์ไม้แข็ง
วงปี่พาทย์ไม้แข็งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  วงปี่พาทย์เครื่องหนัก  วงปี่พาทย์จัดเป็นวงดนตรี
ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายสูงสุดในกลุ่มวงปี่พาทย์ และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นวงดนตรีที่มีความเป็นมาตรฐานที่สูงสุดอีกด้วย เครื่องดนตรีที่สังกัดในวงดนตรีประเภทนี้ทุกเครื่องจะมีเสียงดัง เนื่องจากบรรเลงด้วยไม้ตีชนิดแข็ง จึงเรียกชื่อวงดนตรีชนิดนี้ว่า ปี่พาทย์ไม้แข็ง ตามลักษณะของไม้ที่ใช้บรรเลง
            บรรเลง อรรถรสที่ได้จากการฟังดนตรีชนิดนี้จึงมีทั้งความหนักแน่น สง่าผ่าเผย คล่องแคล่ว และสนุกครึกครื้น  จึงสามารถบรรเลงได้ในโอกาสทั่วๆไป  เช่น  งานพระราชพิธี  งานบวชนาค  งานโกนจุก  เทศน์มหาชาติ  ประกอบการแสดง  โขน  ละคร  ลิเก  หนังใหญ่  เป็นต้น


วงปี่พาทย์ไม้แข็งสามารถแบ่งตามขนาดของวง   ได้เป็น ๓ ขนาด คือ


วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า
วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีรายการละหนึ่งเครื่อง โดยแต่เดิมนั้นประกอบด้วยปี่ใน ระนาดเอก (ทำหน้าที่ดำเนินลำนำ) ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน และกลองทัด จนมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงได้เพิ่มฉิ่งขึ้นอีกสิ่งหนึ่ง
ดังนั้น ในปัจจุบัน วงปี่พาทย์เครื่องห้า จึงประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีและกำกับจังหวะรวมกันเป็นจำนวน ๖ เครื่อง กล่าวกันว่า สาเหตุที่เรียกเครื่องห้าอาจเป็นเพราะตะโพนและกลองทัดจัดเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเครื่องหนังหรือกลองทั้งคู่ จึงนับจำนวนหน่วยเป็นหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ผู้รู้บางท่านก็ได้กล่าวไว้ในอีกแง่หนึ่งว่าการที่เรียกว่าปี่พาทย์เครื่องห้า แต่มีเครื่องดนตรี ๖ ชิ้นนั้น อาจเป็นเพราะผู้บรรเลงกลอง อาจจะเลือกตี ตะโพนหรือ กลองสองหน้าอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมของเพลง เครื่องดนตรีต่างๆ มีดังนี้
ปี่ใน ๑ เลาระนาดเอก ๑ รางฆ้องวงใหญ่ ๑ วงตะโพน ๑ ใบกลองทัด ๑ คู่ (แต่เดิมมี ๑ ใบ เพิ่งมาเพิ่มเป็นคู่เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑)ฉิ่ง ๑ คู่

วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่  
                 วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่ พัฒนามาจากวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้าโดยการจัดเครื่องดนตรีให้เป็นคู่กัน  จึงเรียกว่าวงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงปี่พาทย์ชนิดนี้เกิดขึ้นในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โดยมีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นเพื่อให้คู่กับระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่

วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่                                                                                                                                            
            วงดนตรีประเภทนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดยเครื่องดนตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่เป็นหลัก แต่มีการเพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กขึ้นอีกอย่างละราง นับเป็นวงปี่พาทย์ไม้แข็งที่มีวิวัฒนาการสูงสุดในปัจจุบัน

วงปี่พาทย์ไม้นวม
วงปี่พาทย์ไม้นวมเกิดขึ้นจากความต้องการวงดนตรีที่มีเสียงหวานนุ่มหู และไม่ดังจนเกินไป กำเนิดของวงปี่พาทย์ไม้นวมนี้ ได้มาจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเครื่องดนตรีและการประสมวงปี่พาทย์ไม้แข็งเสียใหม่ กล่าวคือ เปลี่ยนไม้ที่ใช้สำหรับบรรเลงระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็กที่แต่เดิมเคยใช้ไม้แข็งมาใช้ไม้นวมแทน  ทำให้ลดความดังและเกรี้ยวกราดของเสียงลง เครื่องเป่าแต่เดิมที่ใช้ปี่ซึ่งมีเสียงดังมากจึงเปลี่ยนมาใช้ขลุ่ยเพียงออซึ่งมีเสียงที่เบากว่า และยังเพิ่มซออู้เข้าไปอีก ๑ คัน ทำให้วงมีเสียงนุ่มนวลและกลมกล่อมมากขึ้นกว่าเดิม

            วงปี่พาทย์ไม้นวมสามารถแบ่งตามขนาดของวง   ได้เป็น ๓ ขนาด คือ
วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องห้า   
วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องคู่   
วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องใหญ่          






วงปี่พาทย์มอญ
วงปี่พาทย์มอญเป็นวงดนตรีที่ปัจจุบันนิยมใช้บรรเลงในงานศพ แต่เดิมวงดนตรีชนิดนี้บรรเลงกันเฉพาะในหมู่ของชาวไทยรามัญเท่านั้น  สมัยรัชกาลที่  3   และใช้บรรเลงได้ในโอกาสต่างๆทั้งในโอกาสมงคลและอวมงคลทั่วไป  ไม่ได้จำกัดเฉพาะพิธีศพเช่นในปัจจุบัน
ลักษณะที่เด่นชัดของวงปี่พาทย์มอญคือ จะมีระดับเสียงที่ทุ้มต่ำกังวานลึก เครื่องดนตรีที่มีลักษณะแตกต่างจากวงดนตรีชนิดอื่นอย่างเด่นชัด ได้แก่ เปิงมางคอก

วงปี่พาทย์มอญสามารถแบ่งตามขนาดของวง   ได้เป็น ๓ ขนาด คือ
วงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า
    
วงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่     
วงปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่     

วงปี่พาทย์นางหงส์
          คือวงปี่พาทย์ธรรมดาที่นำมาใช้บรรเลงประโคมศพแต่ ใช้ปี่ชวา1 เลา แทน ปี่นอก และ ปี่ใน และนำกลองมลายู 1 คู่ มาแทนกลอง
แขกโดยตัด ตะโพน และ กลองทัด ออกแต่ยังคง โหม่ง ไว้

          วงปี่พาทย์นางหงส์ใช้บรรเลงเฉพาะในงานศพมาแต่โบราณก่อนวงปี่พาทย์มอญ เหตุที่เรียกว่าปี่พาทย์นางหงส์ก็เพราะใช้เพลงเรื่องนางหงส์ 2 ชั้นเป็นหลักสำคัญในการบรรเลง


วงปี่พาทย์มอญ
          วงปี่พาทย์มอญนั้นโดยแท้จริงแล้วใช้บรรเลงได้ในโอกาสต่างๆทั้งงานมงคล เช่นงานฉลองพระแก้วมรกตในสมัยธนบุรีและงานอวมงคล
เช่นงานศพ การที่วงปี่ พาทย์มอญเป็นที่นิยมบรรเลงเฉพาะในงานศพในปัจจุบันก็เพราะว่าท่วงทำนองเพลง และการบรรเลงมีสำเนียงและลีลาที่
โศกเศร้าเข้ากับบรรยากาศของงานศพดังลายพระ หัตถ์ที่สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงมีถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงเดชานุภาพ ในหนังสือ
สาส์นสมเด็จที่กล่าวถึงที่มาของการใช้วงปี่พาทย์มอญประโคมในงานศพมี ความว่า
          "เรื่องที่ใช้ปี่พาทย์มอญในงานศพนั้นหม่อมฉันเคยได้ยินสมเด็จพระพุทธเจ้า หลวงตรัสเล่าว่าปี่พาทย์มอญทำในงานหลวงครั้งแรกเมื่องาน
สมเด็จพระเทพสิรินทรา บรมราชินีด้วยทูลกระหม่อมทรงพระราชดำริว่าสมเด็จพระเทพสิรินทราฯทรงเป็นเชื้อ สายมอญแต่จะเป็นทางไหนหม่อม
ฉันไม่ทราบเคยได้ยินแต่ชื่อพระญาติคนหนึ่งเรียกว่า
"ท้าวทรงกันดาล ทรงมอญ"ว่าเพราะเป็นมอญพระองค์คงจะทราบดีว่าคงเป็นเพราะเหตุ นั้น
งานพระศพพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่
5 จึงโปรดให้มีปี่พาทย์มอญเพิ่มขึ้นโดยเป็น เชื้อสายของสมเด็จพระเทพสิรินทราฯ คนภายนอกอาจจะเอา
อย่างงานพระศพหลวงไป เพิ่มหรือไปหาเฉพาะปี่พาทย์มอญมาทำในงานศพโดยไม่รู้เหตุเดิมแล้วจึงทำตามกันต่อ มาจนพากันเข้าใจว่างานศพต้องมีปี่พาทย์มอญจึงจะเป็น "ศพผู้ดี"เหมือนกับเผาศพต้อง จุดพลุญี่ปุ่นกันแพร่หลายอยู่คราวหนึ่ง อันที่จริงปี่พาทย์มอญนั้นชาวมอญเขาก็ใช้ทั้งใน
งานมงคลและงานศพเหมือนกับปี่พาทย์ไทย กลองคู่กับปี่ชวา และ ฆ้อง ประสมกันซึ่ง เรียกว่า "บัวลอย" ก็ใช้ทั้งงานศพและงานมงคล"
          หนังสือเพลงดนตรี ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2538 เรื่อง "ปี่พาทย์มอญและ เพลงมอญ" หน้า 55 - 65 เขียนโดย อาจารย์อานันท์
นาคคง ได้กล่าวถึงการแพร่ขยาย และความนิยมในการบรรเลงปี่พาทย์มอญตามวัดต่างๆไว้ดังนี้
          "บุคคลสำคัญซึ่งเป็นตำนานของปี่พาทย์มอญที่สมควรกล่าวถึงมีอยู่ 2 คน คือ ครูสุ่ม เจริญดนตรี และ ครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร
ศิลปบรรเลง) ประวัติของครูสุ่ม นั้นค่อนข้างสับสน กล่าวกันว่าท่านเป็นคนมอญที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในราว รัชกาลที่
5 - 6 ท่านเป็นผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญเพลงมอญและได้นำฆ้องวงของมอญเข้ามาด้วย ครูสุ่มได้ตั้งบ้านเรือนและสำนักดนตรีอยู่ที่ถนนหลานหลวงตรงกับบริเวณ
หัวมุมสะพานนางร้องไห้ หรือที่ตั้งของกรมโยธาธิการในปัจจุบัน และได้ถ่ายทอดวิชาการบรรเลง เพลงมอญให้กับนักดนตรีไทยเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะ ครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ซึ่งเป็นครูดนตรีไทยคนสำคัญคนหนึ่งของแผ่นดินรัตนโกสินทร์ ตั้งบ้านดนตรีไทยอย
และแวกไม่ไกลนักคือตรง
"บ้านบาตร" อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย ย่านวังบูรพาฯ ครูหลวงประดิษฐไพเราะฯนั้นนับ ถือครูสุ่มว่าเป็นครูใหญ่ในเชิงปี่พาทย์มอญจึงหมั่นแวะไปมาหาสู่เรียนรู้เพลงกันอย่างสม่ำ เสมอจนต่อมาได้นำเอาความรู้เรื่องเพลงมอญไปขยายความต่ออย่างกว้างขวางโดยได้คิด ประดิษฐ์เพลงและเรียบเรียงเพลงไทยสำเนียงมอญขึ้นใหม่จนเป็นที่นิยมบรรเลงและขับ ร้องในหมู่นักดนตรีไทยรุ่นหลังๆกันสืบต่อมาเช่นเพลงชุดย่ำค่ำมอญที่ท่านเรียบเรียงขึ้น เป็นทางพิเศษมีการขยายเพลงเร็วหน้าเพลงย่ำค่ำขึ้นอีกและทำ "ทางเดี่ยว" สำหรับเครื่อง ดนตรีต่างๆในวงให้
แสดงฝีมือกันอย่างถึงอกถึงใจ รวมทั้งการทำ
"ทางเปลี่ยน" สำหรับ เพลงสำเนียงมอญอื่นๆอีกจำนวนมากให้มีรสชาติลีลาที่ลึกซึ้งเป็นที่ติดอกติด
ใจแก่ผู้ฟัง นอกจากนี้ยังมีผู้กล่าวกันอีกว่า ครูหลวงประดิษฐไพเราะฯ นั้น เป็นผู้ริเริ่มการประโคม ปี่พาทย์มอญตามวัดสำคัญๆในกรุงเทพฯ เช่น
วัดเทพศิรินทร์และวัดไตรมิตร เป็นต้นโดย การนำเอาเครื่องปี่พาทย์ไทยชนิด ลงรักปิดทองสวยงาม เข้าไปผสมกับเครื่องมอญทำให้ เกิดความ
นิยมในการเอาปี่พาทย์มอญไปบรรเลงตามวัดต่างๆ อย่างแพร่หลายในยุคต่อมา"
 
วงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า
          ประกอบด้วย ระนาดเอก ฆ้องมอญ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก และ เครื่องกำกับจังหวะ ได้แก่ ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง
วงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่
          มีลักษณะเดียวกับวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า แต่เพิ่ม ระนาดทุ้ม และ ฆ้องมอญวงเล็ก
วงปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่
          มีลักษณะเดียวกับวงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่ แต่เพิ่ม ระนาดเอกเหล็ก และ ระนาดทุ้มเหล็ก

          รูปแบบการจัดวางเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์มอญมีความแตกต่างจากวงปี่พาทย์ ไทยบางประการกล่าวคือมีการสลับนำฆ้องมอญมาตั้งไว้
หน้าระนาดทั้งนี้ อาจารย์อานันท์ นาคคง ได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า
"เหตุผลของการกำหนดแบบแผนให้ฆ้องวงของมอญตั้งอยู่ด้านหน้าวงปี่พาทย์
มอญ ในขณะที่วงปี่พาทย์ไทยชนิดอื่นๆจะตั้งฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็กอยู่หลังวงปี่พาทย์นั้นยัง ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้กำหนดและการตั้งวงปี่พาทย์มอญจริงๆจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ อาจ จะเป็นเหตุผลเพื่อความสวยงามเมื่อมองจากด้านหน้าของวงเข้าไปคือ สวยทั้งร้านฆ้อง และ การดำเนิน
มือฆ้องในขณะที่บรรเลง หรือจะเป็นการให้เกียรติว่า ฆ้องมอญ คือตัวแทนของ วัฒนธรรมมอญที่เด่นชัดที่สุดในวงหรืออาจเป็นด้วยเสียงฆ้อง
มอญเบากว่าระนาดซึ่งตีด้วย ไม้แข็ง หรือฆ้องมอญมีบทบาทหน้าที่ในการขึ้นวรรคนำของเพลงประโคมก็ยังไม่มีการยืน ยันที่แน่นอน"
เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์มอญประกอบด้วย
               - ปี่มอญ 1 เลา
               - ระนาดเอก 1 ราง
               - ระนาดทุ้ม 1 - 2 ราง
               - ฆ้องมอญวงใหญ่, กลาง, เล็ก จำนวนตามความเหมาะสม
               - ตะโพนมอญ 1 ใบ
               - เปิงมางคอก 1 ชุด
               - โหม่ง 3 ใบ
               - เครื่องกำกับจังหวะอื่นๆ
ทั้งนี้อาจเพิ่มเติม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก เข้าไปเพื่อให้ครบตามรูปแบบของ วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ด้วยก็ได้

วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์    ใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพสมเด็กเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงปรับปรุงขึ้นเมื่อ  .. 2441 สำหรับใช้ในการเล่นละครชนิดใหม่ที่เรียกว่าละครดึกดำบรรพ์ โดยหวังจะได้วงดนตรีที่มีเสียงที่หวานนุ่มหูอย่างวงออเคสตราของฝรั่ง เครื่องดนตรีที่ผสมอยู่ในวงปี่พาทย์ชนิดนี้ คัดเลือกเอาเฉพาะเครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลและไม้ตีระนาดต้องใช้ไม้นวมตี

วงเครื่องสาย

วงเครื่องสาย

ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย อันได้แก่เครื่องสี (ซอด้วงและซออู้) และเครื่องดีด (จะเข้) เป็นหลัก มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า (ขลุ่ย) เป็นส่วนประกอบ ใช้โทนรำมะนาบรรเลงจังหวะหน้าทับ และใช้ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ร่วมบรรเลงประกอบจังหวะ วงเครื่องสายเป็นวงดนตรีประเภทที่ใช้บรรเลงขับกล่อมเพื่อความบันเทิงเริงรมย์ เหมาะสำหรับการบรรเลงในอาคาร นิยมใช้บรรเลงในงานมงคล เช่น พิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงสังสรรค์ เป็นต้น และมิได้ใช้บรรเลงสำหรับประกอบการแสดงนาฏศิลป์

๑. วงเครื่องสายไทย  
วงเครื่องสายไทย เป็นวงดนตรีที่เหมาะสำหรับการบรรเลงในอาคาร ในลักษณะของการขับกล่อมที่เป็นพิธีมงคล เช่น พิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงสังสรรค์ เป็นต้น วงเครื่องสายไทยนี้มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า
วงเครื่องสายมีอยู่ ๒ ขนาด คือ วงเครื่องสายวงเล็กและวงเครื่องสายเครื่องคู่    ๑.๑ วงเครื่องสายวงเล็ก ประกอบด้วย เครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องสายและเป่าอย่างละหนึ่งเครื่อง ดังนี้     จะเข้ ๑ ตัว     ซอด้วง ๑ คัน     ซออู้ ๑ คัน     ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา     โทน-รำมะนา ๑ คู่     ฉิ่ง ๑ คู่     ฉาบ ๑ คู่     กรับ ๑ คู่     โหม่ง ๑ ใบ 
  
 ๑.๒ วงเครื่องสายเครื่องคู่ วงเครื่องสายเครื่องคู่ประกอบด้วย เครื่องดนตรีที่อยู่ในวงเครื่องสายวงเล็กเป็นหลัก โดยเพิ่มจำนวนของเครื่องดนตรีประเภททำทำนองจากเครื่องมือละหนึ่งเครื่องเป็นสองเครื่องหรือเป็นคูดังต่อไปนี้    
    จะเข้ ๒ ตัว     ซอด้วง ๒ คัน     ซออู้ ๒ คัน     ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา     ขลุ่ยหลิบ  ๑ เลา     ฉิ่ง ๑ คู่     ฉาบ ๑ คู่     กรับ ๑ คู่     โหม่ง  ๑ ใบ     โทน-รำมะนา ๑ คู่
๒. วงเครื่องสายผสม  
เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีอย่างที่สังกัดในวงเครื่องสายไทย เพียงแต่เพิ่มเอาเครื่องดนตรีที่อยู่นอกเหนือจากวงเครื่องสายไทย หรืออาจจะเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง บรรเลงร่วมด้วย เช่น ขิม ระนาด แคน (หรือแม้แต่ซอสามสายอันเป็นเครื่องสีก็ตาม) ซึ่งเครื่องดนตรีที่นำมาผสมนั้นต้องคำนึงถึงคุณลักษณะของเสียงด้วยว่ามีความกลมกลืนมากน้อยเพียงใด
   
การเรียกชื่อวงจะเรียกตามตามเครื่องดนตรีที่นำมาผสม เช่น ถ้านำขิมมาบรรเลงร่วมก็จะเรียกว่า วงเครื่องสายผสมขิม


๓. วงเครื่องสายปี่ชวา  
ประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายไทยเป็นหลัก และนำเอาปี่ชวามาบรรเลงแทนขลุ่ยเพียงออ คงไว้แต่เพียงขลุ่ยหลิบซึ่งมีเสียงสูง และเปลี่ยนมาใช้กลองแขกบรรเลงจังหวะหน้าทับแทน วงเครื่องสายปี่ชวามี ๒ ขนาด คือ วงเครื่องสายปี่ชวาวงเล็กและวงเครื่องสายปี่ชวาวงใหญ่
    ๓.๑ วงเครื่องสายปี่ชวาวงเล็ก ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้     ปี่ชวา ๑ เลา     ขลุ่ยหลิบ  ๑ เลา     ซอด้วง ๑ คัน     ซออู้ ๑ คัน     จะเข้ ๑ ตัว     กลองแขก ๑ คู่     ฉิ่ง ๑ คู่     ฉาบ กรับ โหม่ง ตามความเหมาะสม   
  ๓.๒ วงเครื่องสายปี่ชวาวงใหญ่ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงเครื่องสาย ปี่ชวาวงเล็กเป็นหลัก โดยเพิ่มเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องสายให้เป็น 2 หรือคู่ ดังนี้    


    ปี่ชวา ๑ เลา     ขลุ่ยหลิบ  ๑ เลา     ซอด้วง ๒ คัน     ซออู้ ๒ คัน     จะเข้ ๒ตัว     กลองแขก ๑ คู่     ฉิ่ง ๑ คู่     ฉาบ กรับ โหม่ง ตามความเหมาะสม

ประเภทของวงดนตรีไทย

วงดนตรีไทย


            ในสมัยที่ชนชาติไทยได้เลื่อนไหลเข้าสู่แดนสุวรรณภูมิหรือที่เรียกกันว่าแหลมทองอารยธรรมของอินเดียเป็นต้นว่า   ลัทธิศาสนาก็ดี  ศิลปะวิทยาการต่างๆก็ดี   ได้แพร่หลายเป็นที่นิยมยิ่งกว่าของชาติใดๆทั้งสิ้น   ดังนั้นการดนตรีซึ่งจะได้มาเริ่มกันใหม่ในแดนนี้  จึงดำเนินไปโดยถือเอาแบบอย่างของอินเดียเป็นหลักโดยมาก   ต่อมาเมื่อกาลเวลาผันแปรไป  วิถีชีวิตและสังคมของชาวไทยได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมากขึ้น   พร้อมกันนั้นเอง  วงดนตรีไทยของเดิมที่ถือเอาแบบอย่างจากอินเดียดังที่เคยมีมาในอดีตก็ได้มีการพัฒนาการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมแห่งยุคสมัยไปด้วย


ในปัจจุบันนี้   เราสามารถแบ่งวงดนตรีไทยแบบมาตรฐานออกได้เป็น 3  ประเภท คือ วงปี่พาทย์   วงเครื่องสายและวงมโหรี  ซึ่งลักษณะของการประสมวงดนตรีทั้ง 3  ประเภทนั้น  จะคำนึงถึงความกลมกลืนของเสียงเครื่องดนตรีที่นำมาร่วมกันเป็นเกณฑ์สำคัญกล่าวคือต้องมีระดับความดัง เบา ที่ใกล้เคียงกัน เช่น การนำปี่ที่มีเสียงดังมาบรรเลงร่วมกับระนาดเอกที่ตีด้วยไม้แข็ง   หรือการนำขลุ่ยมาบรรเลงร่วมกับซออู้ เช่นนี้เป็นต้น